Powered By Blogger

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

กำแพงเมืองจีน

กําแพงเมืองจีน---สิ่งก่อสร้างในสมัยโบราณของจีนที่มีชื่อเลื่องลือไปทั่วโลกนั้น ตอนที่มีความสําคัญทางยุทธศาสตร์ตอนหนึ่งชื่อว่า "ปาต๋าหลิ่ง"
อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง ห่างจากตัวเมืองกรุงปักกิ่งประมาณ ๘๐ กิโลเมตร
กําแพงเมืองจีนมีความยาวทั้งหมด ๖๗๐๐ กิโลเมตร กําแพงเมืองจีนเริ่มสร้างในสมัยจ้านกว๋อ เวลานั้น ก๊กเยี่ยน ก๊กจ้าวและก๊กฉินในภาคเหนือของจีนต่างได้สร้างกําแพงของตนขึ้นในที่ที่มีความสําคัญทางยุทธศาสตร์เพื่อป้องกันการบุกรุกของก๊กใกล้เคียงและเผ่าชนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ทางเหนือหลังจากจักรพรรดิฉินสื่อหวงรวมประเทศจีนเข้าเป็นเอกภาพเมื่อ ๒๒๑ปีก่อนคศ. ก็ได้เชื่อมต่อกําแพงที่ก๊กต่าง ๆ สร้างไว้เข้าด้วยกันและสร้างต่อเติมขึ้นอีก ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์สุย ราชวงศ์หยวนและราชวงศ์หมิงก็ได้ซ่อมแซมและสร้างเติมเสริมต่อเรื่อยมา กําแพงเมืองจีนในทุกวันนี้ส่วนใหญ่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยราชวงศ์หมิง การก่อสร้างกําแพงที่มีความยาวถึง ๖๐๐๐ กว่ากิโลเมตร บางแห่งยังต้องสร้างบนภูเขาทั้งสูงชันและสลับซับซ้อนอยู่เหนือระดับนํ้าทะเล ๑๐๐๐ กว่าเมตรในสมัยที่การลําเลียงขนส่ง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังไม่เจริญนั้นจะลําบากยากเข็ญเพียงไร ก็ด้วยเหตุนี้เอง กําแพงเมืองจีนจึงได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งในสถาปัตยกรรมของโลก
กําแพงเมืองจีนประกอบด้วยด่าน กําแพง ป้อมรักษาการณ์และหอคอยจุดเพลิงสัญญาณ ด่านตั้งอยู่ตรงจุดสําคัญในเส้นทางคมนาคม
มีกําแพงหลายชั้น มีทหารประจํารักษาอยู่เป็นจํานวนมากซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการทหาร ด่านจียงกวานที่ปาต๋าหลิ่งเป็นด่านสําคัญแห่งหนึ่งของกําแพงเมืองจีน กําแพงเมืองจีนโดยเฉลี่ยสูง ๗---๘ เมตร กว้าง ๕---๖ เมตร สันกําแพงด้านนอกมีเชิงเทินรูปฟันปลาเป็นที่กําบังตัว ข้าง ๆ เชิงเทินมีช่องมอง ใต้เชิงเทินมีช่องยิงลูกศร โดยทั่วไปบนที่สูงหรือบนยอดเขานอกกําแพง สร้างหอคอยสําหรับจุดเพลิงสัญญาณไว้เป็นระยะ ๆ ซึ่งเป็นสถานีส่งสัญญาณแจ้งเหตุทางทหารในสมัยโบราณแต่ละหอคอยรับส่งสัญญาณกันเป็นทอด ๆ จนถึงเมืองหลวงหรือเขตป้องกันเมืองเขตใหญ่ ประกอบเป็นโครงข่าวสื่อสารอันสมบูรณ์ ถ้าเกิดมีข้าศึกมากลางวันก็สุมควัน มากลางคืนก็จุดไฟเป็นสัญญาณ กําแพงเมืองจีนในทุกวันนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดใจทั้งชาวจีนและชาวต่างประเทศ

พีรมิดแห่งกิซ่า

The Great Pyramid of Egypt เมืองกิซา ประเทศอียิปต์พีระมิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 ด้วยกัน แต่พีระมิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าพีระมิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปีพีระมิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือพีระมิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่ามหาพีระมิด- ฐานของพีระมิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 570,000 ตาราง768 ฟุต บริเวณฐานพีระมิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว- ตัวมหาพีระมิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตรสันนิษฐานว่าผู้สร้างพีระมิดนี้อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของพีระมิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุตใจกลางพีระมิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต X บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องพีระมิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และพีระมิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูงพีระมิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็นพีระมิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาพีระมิด เล็กกว่ามหาพีระมิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต ช่วงบนของพีระมิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาวพีระมิดไมซีรีนัส เป็นพีระมิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง สูงแค่ 230 ฟุต นอกเหนือจากพีระมิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโตหมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังพีระมิดแห่ง

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

วอลท์ ดิสนีย์ เวิลด์ (Walt Disney World)

วอลท์ ดิสนีย์ เวิลด์ (Walt Disney World)
ตั้งอยู่ในรัฐฟลอริด้าในประเทศสหรัฐอเมริกาวอลท์ ดิสนีย์ เวิลด์ ที่ ออร์ลันโด รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็น สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่ถึง 30,000 เอเคอร์ ใช้งบประมาณพัฒนาถึง 400 ล้านดอลลาร์ ได้ต้อนรับคนรักสนุกครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1971 เวลาเปิดปิดสวนสนุก ชึ้นกับฤดูกาล เมื่อเข้าไปข้างในจะพบ ปราสาทเทพนิยายที่ตั้ง เด่นเป็นสัญลักษณ์ ดินแดนต่างๆแต่สวนสนุกที่ที่มีคนไปมากที่สุดในโลก คือ โตเกียวดิสนีย์แลนด์ ด้วยสถิตินักท่องเที่ยวมากถึง 17.80ล้าน คนต่อปี มีพื้นที่เพียง 114.2 เอเคอร์เท่านั้น

พระราชวังอิมพีเรียล

พระราชวังอิมพีเรียล (โคเคียว ) เป็นที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียวท่ามกลางคูน้ำล้อมรอบมาตั้งแต่สมัยเอโดะ บนพื้นที่มากกว่า 270 เอเคอร์ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นสวนป่าไม้ธรรมชาติ และเนื่องจากพระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิ จึงไม่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม แต่จะมีเพียงกรณีพิเศษ 2 ปีที่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าได้คือ วันที่ 23 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และวันที่ 2 มกราคม ของทุกปี ที่สมเด็จพระจักรพรรดิจะออกสมาคม เพื่ออวยพรให้ประชาชนเนื่องในโอกาสวันปีใหม่ แต่จะอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้าได้เพียงแค่บริเวณพระราชฐานชั้นนอกเท่านั้น
ภายในอุทยานชั้นในอันเป็นเขตพระราชฐาน เป็นอาคารคอนกรีตทรงเตี้ย หลังคาสีเขียว ซึ่งสร้างขึ้นแทนของเดิมที่ถูกทิ้งระเบิดโดยฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บริเวณที่นักท่องเที่ยวทั่วไปนิยมถ่ายรูปกันคือ สะพานนิจูบาชิ เป็นสะพานที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักเป็นอย่างมากแล้ว ยังเป็นสะพานที่สามารถข้ามผ่านไปยังเขตพระราชฐานชั้นในได้อีกด้วย

ตัวปราสาทสร้างตามรูปแบบในสมัยเอโดะ ล้อมรอบด้วยคูน้ำและกำแพงหิน ทางเข้าหลักจะเป็นสะพานคู่หรือเรียกว่า นิจูบาชิ (Nijubashi) ที่สร้างได้อย่างสวยสง่างาม แต่ไม่เปิดให้ บุคคลทั่วไปผ่าน ยกเว้นในช่วงปีใหม่และวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระจักรพรรดิที่จะเปิดให้พสกนิกร(บางคน)ข้ามมารับพระราชทานพรใกล้ๆที่ประทับ ทางด้านตะวันออกจะมีสวนดอกไม้ (Higashi Gyoen) ซึ่งจัดไว้อย่างสวยงามเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามาพักผ่อนหย่อนใจได้ตลอดเวลา และเข้าไปยังเขตพระราชฐานได้ 3 ประตู จากทั้งหมด 8 ประตู คือ โอเตมง(Ote-mon), ฮิรากาวะมง(Hirakawa-mon) และคิตะฮาเนบาชิมง(Kitahanebashi-mon) ตัวพระตำหนักเป็นอาคารคอนกรีตทรงเตี้ยกว้างสร้างด้วยหินแกรนิตและบะซอลต์จากภูเขาไฟ คลุมด้วยหลังคาสีเขียว สร้างเสร็จในปี 1970 แทนพระตำหนักไม้หลังเดิมที่ถูกระเบิดในช่วงสงครามโลกในปี 1945

พระราชวังวินด์เซอร์


พระราชวังวินด์เซอร์ เป็นพระราชวังตั้งอยู่ที่วินด์เซอร์, มลฑลบาร์คเชอร์ในสหราชอาณาจักร สร้างโดยสมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1070สถาปัตยกรรมเป็นแบบโรมาเนสก์ พระราชวังวินด์เซอร์เป็นพระราชฐานที่ยังมีผู้อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นพระราชฐานที่เก่าที่สุดที่มีผู้อยู่อาศัยที่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่เริ่มสร้าง เนื้อที่การใช้สอยมีทั้งหมดด้วยกัน 484,000 ตารางฟุต หรือ 45,000 ตารางเมตร[1]
พระราชวังวินด์เซอร์, พระราชวังบัคคิงแฮม ที่กรุงลอนดอน และพระราชวังโฮลีรูด (Holyrood Palace) ที่เอดินบะระ เป็นพระราชฐานหลักสามแห่งของพระราชวงศ์อังกฤษ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มักทรงใช้เวลาวันสุดสัปดาห์หลายวันที่พระราชวังวินด์เซอร์เป็นทั้งที่จัดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการและเป็นการส่วนพระองค์ ตำหนักซานดริงแฮมและ พระราชวังบาลมอรัลเป็นพระราชวังส่วนพระองค์
พระมหากษัตริย์และกษัตรีย์แห่งอังกฤษเกือบทุกพระองค์มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงต่อการสร้างและการวิวัฒนาการของพระราชวังวินด์เซอร์โดยตลอด พระราชวังเคยใช้เป็นป้อมปราการ ที่อยู่อาศัย ที่ประทับอย่างเป็นทางการ และบางครั้งเรือนจำ ประวัติของพระราชวังจึงเกี่ยวพันกับประวัติของพระมหากษัตริย์และกษัตรีย์ของอังกฤษอย่างใกล้ชิด การศึกษาประวัติก็ทำได้โดยการศึกษาจากประวัติของรัชสมัยต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ที่มาประทับ ในยามสงบจากศึกสงครามพระราชวังก็ได้รับการขยายเพิ่มเติมด้วยห้องชุดสำหรับเป็นที่อยู่อาศัย ยามสงครามพระราชวังก็ใช้เป็นป้อมปราการด้วยการสร้างเสริมอย่างแน่นหนา ระบบนี้ก็ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

Red Tides

กระแสน้ำแดง รู้จักกันในชื่อว่า การเบ่งบานของสาหร่าย ซึ่งหมายถึงการเกิดสาหร่ายสีเดียวกันมากมายภายในบริเ วณนั้น จนกระทั่งสามารถเปลี่ยนสีท้องทะเลหรือหาดทั้งหมดให้ก ลายเป็นสีแดงดั่งสีเลือด ถึงแม้ว่าปรากฏการณ์นี้จะไม่มีอันตราย แต่หลายคนมักคิดเลยเถิดไปถึงพิษร้ายที่อาจจะทำให้ปลา นก และสัตว์ทะเลถึงแก่ความตาย ในบางกรณี มนุษย์เองก็อาจจะได้รับอันตรายจากกระแสน้ำแดงนี้ด้วย ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยมีรายงานว่าคนที่จับต้องหรือโดน กระแสน้ำแดงนี้จะเป็นอันตรายร้ายแรง มันอาจจะมีอันตรายหากในน้ำมีแพลงตอนบางชนิด

Columnar Basalt

เมื่อเถ้าลาวาที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟเย็นตัวลง มันจะหดตัวในแนวตรง แต่จะแตกตัวในแนวตั้งตรงกับเส้นทางการไหลอย่างสม่ำเส มอ และโดยทั่วไปจะก่อให้เกิดรูปทรงแปดเหลี่ยมที่น่าอัศจรรย์ที่ดูเหมือนการสร้างสรรค์ของมนุษย์ และหนึ่งในปรากฏการณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องนี ้ คือ Giant’s Crossway บนคาบสมุทรไอร์แลนด์ (ดังภาพที่เห็นด้านล่าง) ถึงแม้ว่าผาหินชนิดนี้ที่ใหญ่ที่สุดและคนรู้จักมากที ่สุดจะอยู่ที่ Devil’s Tower ในรัฐไวโอมิ่ง เมื่อภูเขาไฟระเบิดมากระทบกับอากาศหรือน้ำ จะเกิดเป็นก้อนหินภูเขาไฟรูปร่างต่างๆกัน แต่ก็น่าประทับใจทุกรูปแบบ

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

เปโตรนาสทาวเวอร์

เปโตรนาสทาวเวอร์ เป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของเมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ออกแบบโดย เซซาร์ เปลลี ตั้งอยู่บริเวณใจกลางย่านธุรกิจของเมือง ที่แวดล้อมด้วยสวนสาธารณะ และส่วนอาคารคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ (KLCC-Kuala Lumpur Convention Center) อาคารเปโตรนาส มี 2 อาคารหอคอย ซึ่งนับเป็นอาคารที่สูงอันดับ 3 และ 4 ของโลก รองจากอาคารเซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์เมืองเซี่ยงไฮ้ และอาคารไทเป101 ประเทศไต้หวัน มีความสูงทั้งหมด452เมตร 88ชั้น
อาคารเปโตรนาสเป็นอาคารสำนักงาน ประกอบด้วยสำนักงานของบริษัทพลังงานและน้ำมันที่มีรัฐบาลมาเลเซียเป็นหุ้นหลักได้แก่ บริษัทเปโตรนาส (ปิโตรเลียมนาชันแนลเบอร์ฮาด) คือ บริษัท ปิโตรเลียมแห่งชาติ จำกัด ของมาเลเชีย ส่วนอื่นๆให้บริษัทอื่นๆเป็นผู้เช่า ได้แก่ บริษัททางการเงินและธนาคาร บริษัทผลิตภัณฑ์เคมีที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ลักษณะเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับตึกระฟ้า อื่นๆของโลก คือการที่เป็นอาคารหอคอย 2 อาคาร เชื่อมโดยสะพานลอยฟ้า (skybridge) อาคารแฝดใช้บริษัทรับเหมาก่อสร้างจาก 2 ประเทศ คือญี่ปุ่น และเกาหลี โดยมีนัยยะเป็นการแข่งขันกันเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีการก่อสร้างอาคารตึกระฟ้า สะพานลอยฟ้านี้เคยใช้เป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลีวูดมาแล้ว ปัจจุบันเปิดให้จองลงทะเบียนขึ้นไปชมวิวที่จุดนี้ (จำนวนจำกัด) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เปิดอนุญาตให้ลงทะเบียนในช่วงเช้า เมื่อครบจำนวนจะหยุดให้ลงทะเบียนทันที
บริเวณฐานของอาคารมีห้างทันสมัยหลายห้าง เช่น อิเซตัน และนอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบรอบๆเป็นอาคารคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ (ศูนย์ประชุม) สวนสาธารณะ สวนน้ำ สระน้ำพุดนตรี พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ (Discovery museum) และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอควาเรีย (Aquaria)

Matterhorn (แมตเตอร์ฮอร์น)


Matterhorn (แมตเตอร์ฮอร์น) เป็นภูเขาทีมีชื่อเสียงมากในเทือกเขาแอลป์ (Alps) ตั้งอยู่ระหว่างประเทศสวิสเซอร์แลนด์และอิตาลั รูปทรงปิรามิดที่งดงามตั้งอยู่บนพื้นที่ แชร์มัท (Zermatt) ในส่วนของ
สวิตเซอร์แลนด์ และ Breuil ใน Val Tournanche ในส่วนของอิตาลี
รูปทรงปิรามิด ตั้งตระหง่านเหมือนยื่นสู่ท้องฟ้ามากกว่ายอดเขาของเทือกเขาแอลป์ยอดอื่นๆ
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การพยายามเข้าสู่ภูเขาทั้ง Mattertal จากทิศเหนือ
VBaltournanche จากทิศใต้ คนโบราณบอกเล่าเกี่ยวเรื่องเล่าแห่งความมืดอันน่ากลัวของ
หายนะว่าจะเกิดขึ้นกับบุคคลที่เข้าใกล้มัน อย่างแน่นอน มีเรื่องเกี่ยวกับเมืองที่ถูกทำลายและ
ฝังภายใต้ก้อนหิมะ ความเห็นเพิ่มเติมของไกด์ผู้ผ่านประสบการณ์ใน Zermatt ฝั่งสวิสเซอร์
แลนด์ว่า ภูเขาสูงชันจากแนวหน้าผาที่ราบเรียบตั้งแต่ฐานถึงจุดยอดทำให้ไม่สามารถปีน
ได้ ภูเขามีสี่ด้าน พื้นหน้าสูงชัน อันตรายมีเพียงแผ่นหิมะและแผ่นน้ำแข็งเล็กๆเกาะยึด ส่วน
ใหญ่แมตเตอร์ฮอร์นเป็นภูเขาของเทือกเขาแอลป์สุดท้ายที่จะถูกปีน เพราะต้องใช้เทคนิคสูง
ยาก แต่ความน่าเกรงขามจะเป็นสิ่งดลใจสำหรับนักปีนเขาได้เช่นกัน เริ่มต้นครั้งแรก
ประมาณปี 1858 จากชาวอิตาเลียนจำนวนมาก แม้จะเกิดขึ้นมากมายที่พวกเขาพบบ่อยๆ
คือความลำบากกับหินที่ลื่น

ทะเลเดดซี หรือ ทะเลมรณะ

ทะเลเดดซี หรือ ทะเลมรณะ เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความเข้มข้นของเกลือสูงมาก อยู่ระหว่างเขตจอร์แดนและอิสราเอล ระดับน้ำอยู่ต่ำที่สุดในบรรดาทะเลทั้งหลาย กล่าวคือต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางลงไปอีกประมาณ 400 เมตร ตอนเหนือเป็นของจอร์แดน ตอนใต้แบ่งเป็นของจอร์แดนและอิสราเอล แต่หลังสงครามอาหรับอิสราเอล กองทัพอิสราเอลยังคงครอบครอบพื้นที่ฝั่งตะวันตกทั้งหมดอยู่
ทะเลเดดซีอยู่ระหว่างเทือกเขายูเดียที่ด้านเหนือ และที่ราบสูงทรานสจอร์แดนที่ด้านตะวันออก แม่น้ำจอร์แดนจะไหลจากทางเหนือมายังทะเลเดดซีนี้ ซึ่งมีความยาว 80 กิโลเมตร และมีความกว้างถึง 18 กิโลเมตร ส่วนพื้นที่นั้น 1,020 ตารางกิโลเมตร แหลมอัลลิซาน (แปลว่า ลิ้น) แบ่งทะเลสาบด้านตะวันออกเป็นสองส่วน ตอนเหนือใหญ่กว่า ล้อมรอบพื้นที่ 3/4 ของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนความลึกนั้นประมาณ 400 เมตร แอ่งตอนเหนือนั้นเล็ก และตื้น (ลึกประมาณ 3 เมตร) ในสมัยที่เขียนคัมภีร์ไบเบิล จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 พื้นที่บริเวณตอนเหนือเท่านั้นที่มีผู้อยู่อาศัย และระดับน้ำต่ำกว่าในปัจจุบัน 35 เมตร