Powered By Blogger

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ดินแดนมหัศจรรย์

แกรนด์ แคนยอน” (Grand Canyon)
ตั้งอยู่ในรัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ความน่าอัศจรรย์ของแกรนด์แคนยอนอยู่ที่ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ โดยถือกำเนิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำ
การจะรู้ถึงแหล่งกำเนิดของ “แกรนด์แคนยอน” คงต้องขอย้อนอดีตกลับไปนานอักโขในช่วงหลายร้อยล้านปีที่ผ่านมา สายน้ำโคโลราโด (Colorado) ที่มีสภาพเป็นเพียงลำธารเล็กๆได้ไหลคดเคี้ยวตามที่ราบกว้าง ใหญ่ที่อยู่ระดับเดียวกับน้ำทะเล ต่อมาพื้นโลกเริ่มยกตัวสูงขึ้นเนื่องมาจากแรงดันและความร้อนอันมหาศาล ภายใต้พื้นโลก ทำให้เกิดการเปลี่ยนรูปและกลายเป็นแนวหน้าผากว้างใหญ่ซึ่งการยกตัวของแผ่นดินทำให้ทางที่ลำธารไหลผ่านลาดชันขึ้นและทำให้น้ำไหลแรงมากขึ้น พัดเอาทรายและตะกอนไปตามน้ำเกิดการกัดเซาะลึกลงไปทีละน้อยๆในเปลือกโลก การสึกกร่อนพังทลายของหิน บวกกับแรงลมและแสงแดดได้ดำเนินมานานหลายล้านปี จนเกิดเป็น “แกรนด์แคนยอน” ภูมิประเทศอันน่าพิศวงนี่เอง
สำหรับใครที่ได้มาเยือนยัง “แกรนด์แคนยอน” ดินแดนที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกแห่งนี้ จะต้องตะลึงกับความอัศจรรย์ของธรรมชาติที่รังสรรค์หุบผ่าสูงชันแห่งนี้ได้อย่างสง่างามน่าเกรงขามเป็นที่ยิ่ง แต่ก่อนที่นักท่องเที่ยวจะได้มาเยือนที่แห่งนี้ ในอดีตแกรนด์แคนยอน เคยเป็นผืนแผ่นดินของชาวอินเดียนแดง ครั้งแรกสุดที่มีการค้นพบดินแดนแห่งนี้คือเมื่อปี พ.ศ.2083 โดยนักสำรวจชาวสเปน แต่ไม่เป็นที่สนใจเท่าไรนัก ต่อมาในปี พ.ศ.2319 นักบวชชาวสเปน 2 คนได้สำรวจเจอแล้วเผยแพร่ข่าวนี้ออกไป ทำให้มียักสำรวจเดินทางมายังดินแดนแห่งนี้มากขึ้น
จนกระทั่งในปี พ.ศ.2412 พันตรี จอร์น เวสลีย์ เพาเวลล์ (John Westley Powell) และคณะอีก 9 คน ได้ตัดสินใจล่องเรือออกเดินทางสำรวจดินแดนอันน่าพิศวงแห่งนี้ แม้สภาพธรรมชาติที่โหดร้ายมีภยันตรายมากมายทั้งโขดหิน แก่งหิน และกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก ตลอดจนน้ำวนที่น่าสะพรึงกลัว แต่พวกเขาบางคนก็สามารถรอดตายมาได้รวมถึงพันตรี จอร์น เวสลีย์ เพาเวลล์ ด้วย และการสำรวจครั้งนี้เองที่ทำให้พวกเราได้รู้จัก “แกรนด์แคนยอน” สัดส่วนของ “แกรนด์แคนยอน” แห่งนี้ ก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้การกำเนิดของมัน โดยสูงจากระดับน้ำทะเลแตกต่างกันไปตั้งแต่ 381-2,793 เมตร มีความกว้างตั้งแต่ 2-24 กิโลเมตร และลึกประมาณ 1.6 กิโลเมตร รอยแยกระหว่างแนวผาของแกรนด์แคนยอนที่มีแม่น้ำโคโลราโดไหลผ่านกันเหวมีความยาวถึงประมาณ 347 กิโลเมตรหุบผาอายุราว 17 ล้านปี แห่งนี้ ประกอบไปด้วยหินเป็นชั้นๆ ซึ่งเป็นลักษณะชั้นของหินที่ถูกแม่น้ำตัดผ่าน มีอยู่ประมาณ 12 ชั้น โดยชั้นล่างสุดเป็นชั้นที่เก่าแก่ที่สุด ส่วนชั้นบนสุด เป็นชั้นที่ใหม่ที่สุด ต่างก็มีหินมากมายหลายชนิดและมาจากหลากหลายยุค ในแต่ละชั้นก็มีสีสันแตกต่างกันไป สีที่เห็นออกไปทางส้ม แดง เหลือง แซมด้วยสีน้ำตาล และดำ อันเป็นลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของ แกรนด์แคนยอน ยิ่งในยามกระทบแสงแดด บางบริเวณก็จะแลเห็นเป็นสีน้ำเงินอ่อน สี่ม่วง สีแดง สีเขียว สีส้ม แล้วแต่จังหวะของแสง
สำหรับดินแดนแห่งหุบเหวกว้างใหญ่แห่งนี้ ได้แบ่งเป็น 2 ตอนด้วยกัน ได้แก่ ขอบผาด้านเหนือ และขอบผาด้านใต้ ทั้งสองฝั่งอยู่ห่างกันเป็นระยะทางเฉลี่ยกว่า16 กิโลเมตร โดยมีหุบเขาตัววี (V-shaped valley) ที่ถูกกัดเซาะด้วยแม่น้ำคั่นระหว่างกลาง มีความลึกจากขอบหน้าผาลงไปถึงแม่น้ำด้านล่างถึง 1,829 เมตร แกรนด์แคนยอนฝั่งเหนือ หรือ “North Rim” สูงประมาณ 2,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ด้วยความสูงระดับนี้ทำให้ขอบผาด้านเหนือมีสภาพอากาศแตกต่างกันอย่างมาก เมื่อถึงฤดูหนาวหิมะจะตกหนักจนไม่สามารถเดินทางเข้าไปได้ ดังนั้นนักท่องเที่ยวจะนิยมมาเยี่ยมชมแกรนด์แคนยอนฝั่งเหนือนี้ในฤดูร้อนคือช่วงเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม
ทางฝั่งเหนือนี้มีจุดชมวิวหลักๆอยู่ 2 แห่งด้วยกันได้แก่ “พอยน์ท อิมพีเรียล” (Point Imperial) ถือเป็นจุดที่สูงที่สุดในฝั่งเหนือ คือประมาณ 2,700 เมตร วิวในมุมนี้จะมองเห็นได้กว้างไกล รวมไปถึงทะเลทรายหลากสี (Painted Desert) และป่าสงวน (Navajo Reservation) ด้วย อีกจุดหนึ่งได้แก่ “แคพ รอยัล” (Cape Royal) อยู่สูงประมาณ 2,400 เมตร เหมาะสำหรับเดินชมวิวทิวทัศน์ไปตามขอบผาสูงชัน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นจุดชมวิวได้สวยที่สุดในฝั่งเหนือก็ว่าได้ และที่แคพ รอยัล ยังมีที่จอดรถกว้างขวางด้วย จุดชมวิวอื่นๆ ที่ขึ้นชื่อได้แก่ โทโรวีพ ( Toroweap Overlook ) อยู่ ณ ริมหุบผาชันทางด้านเหนือ กว้างประมาณ 800 เมตร หรือที่ นอร์ธ ไคแบ็บ เทรล (North Kaibab Trail) ซึ่งเป็นทางแคบๆผ่านไปตามขอบเหวลึกอย่างน่าตื่นเต้นหวาดเสียว
ส่วนแกรนด์แคนยอนทางฝั่งใต้ ที่เรียกว่า “South Rim” สูงประมาณ 2,000 เมตร ทางฝั่งนี้จะเปิดรับนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี และสามารถเดินทางได้สะดวกจากลาสเวกัส มลรัฐเนวาด้า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงชมแกรนด์แคนยอนจากฝั่งใต้มากกว่า สำหรับวิวทิวทัศน์ทางฝั่งนี้ เบื้องล่างจะเห็นแม่น้ำโคโลราโด ส่วนด้านบนสร้างเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ตามแบบของพวกชนพื้นเมืองเดิมที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนี้มาก่อน หากใครที่ต้องการสัมผัสความเสียวถึงขั้วหัวใจล่ะก็ ขอให้ลองจ่ายเงินเพื่อพิสูจน์วัดใจตัวเอง ด้วยการเดินบน “สกายวอล์ก” (Skywalk) ทางเดินกระจกรูปร่างคล้ายเกือกม้ายื่นออกมาจากขอบผาไปประมาณ 21 เมตร เสมือนการเดินบนอากาศด้วยระดับความสูงกว่า 1,220 เมตร เลยทีเดียว ซึ่งนอกจากความหวาดเสียวแล้วยังจะได้ชมทัศนียภาพของแกรนด์แคนยอนแบบไม่เหมือนใครอีกด้วย
และแน่นอนว่าแกรนด์แคนยอน ย่อมต้องมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ที่หลงใหลในการผจญภัย ซึ่งก็มีเส้นทางให้เลือกเข้าหา แกรนด์แคนยอนได้หลากหลายทั้ง อาทิ เส้นทางเดินเท้าลัดเลาะลงสู่เบื้องล่างของหุบผาและตลิ่งของแม่น้ำโคโลราโด โดยการเดินทางจากริมหน้าผาด้านบนลงไปถึงแม่น้ำโคโลราโดเบื้องล่างต้องเดินเป็นระยะทางกว่า 16 กิโลเมตร และมีการเปลี่ยนระดับความสูงถึง 1,220 เมตร ผู้ที่ตั้งใจจะเดินลงไปข้างล่างจึงควรเผื่อเวลาไว้ 2 วัน โดยลงไปนอนเต็นท์ด้านล่าง 1 คืน แล้วจึงค่อยเดินกลับขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น หรือหากเดินไม่ไหว ก็มีล่อ (mule) บริการ นักท่องเที่ยวสามารถขี่เจ้าล่อขึ้นลงเขาได้อย่างมั่นใจปลอดภัยเพราะเจ้าล่อที่นี่เป็นผู้เชี่ยวชาญชำนานทางเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าดีกว่าคนด้วยซ้ำ แต่พอลงจากล่ออาจต้องเดินขากางไปหลายวันก็เป็นได้ หรือใครชอบทางน้ำ ก็สามารถล่องแก่งด้วยเรือยางไปตามแม่น้ำโคโลราโดที่ถือว่าเป็นแก่งที่ยากที่สุดในโลก ด้วยระยะทางยาวกว่า 400 กิโลเมตร น้ำที่ไหลเชี่ยวผ่านเกาะแก่งหินมากกว่า 150 แห่ง และน้ำวนที่เดือดพล่านอยู่เป็นแห่งๆ ท้าทายฝีมือของผู้รักสนุก พร้อมชมความสวยงามระหว่างเส้นทางสองฟากฝั่ง และยังได้พักค้างคืนท่ามกลางหุบเขาสูงโอบล้อมอีกด้วย ช่างคุ้มค่ากับชีวิตจริงๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น